นิทานพื้นบ้านเรื่องโสนน้อยเรือนงาม
ณ นครโลมวิชัย มีพระราชาและราชินีผู้ซึ่งตั้งมั่นในทศพิธราชธรรมปกครองอยู่ ทั้งสองพระองค์ให้กำเนิดพระธิดาพระองค์น้อย และทรงพระราชทานนามให้ว่าโสนน้อยเรือนงาม เพราะตั้งแต่แรกประสูติ พระธิดาโสนน้อยมีเรือนไม้หลังเล็กๆ ติดพระหัตถ์ออกมาด้วย ครั้นพระธิดาโสนน้อยเจริญวัยขึ้น เรือนไม้หลังน้อยก็ได้กลายเป็นของเล่นที่เธอโปรดปรานมาก เธอสามารถเข้าออกเรือนไม้นั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ช่างมหัศจรรย์นัก” พระราชาและพระราชินีต่างก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ
เมื่อใกล้วันครบรอบวันประสูติ
พระราชาทรงดำริให้จัดงานฉลองครบรอบ 15 ชันษาแก่พระธิดา แต่โหรหลวงทูลคัดค้านว่า
"พระอาญามิพ้นเกล้า
ขณะนี้พระธิดาทรงกำลังมีพระเคราะห์พะยะค่ะ
ดังนั้นพระธิดาจะต้องออกเดินทางเผชิญโชคเพียงลำพังเป็นเวลา 1 ปี"
“ไม่มีหนทางหรือการสะเดาะเคราะห์ทางอื่นช่วยนางได้เลยหรือ” พระราชาตรัสด้วยไม่อยากจะปล่อยให้พระธิดาของตนต้องลำบาก
“พระอาญามิพ้นเกล้า
นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการกำจัดเคราะห์ของพระธิดาพะยะค่ะ”
ถึงแม้พระราชาและพระราชินีจะทรงไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องปฏิบัติตาม
ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองพระองค์จึงไปส่งพระธิดาที่หน้าประตูเมือง
โดยโสนน้อยได้ปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้าน แล้วเอาเครื่องทรงพระธิดาห่อไว้
“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะ
ลูกจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ระหว่างที่ลูกไม่อยู่
ขอให้ท่านพ่อท่านแม่รักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”
โสนน้อยเดินทางเข้าป่าอย่างไร้จุดหมาย
พระอินทร์เกิดความสงสารจึงแปลงกายเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นแก่เธอและอวยพรให้เธอโชคดี
ระหว่างทางโสนน้อยพบศพหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งชื่อกุลา
นางถูกงูพิษกัดสิ้นใจตายอยู่กลางป่า
โสนน้อยจึงลองใช้ยาวิเศษของท่านชีปะขาวทาที่บาดแผล พลันบาดแผลก็หายเป็นปลิดทิ้ง
นางกุลาก็ฟื้นขึ้นและขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยไปทุกหนทุกแห่ง
โสนน้อยและนางกุลาเดินทางไปถึงเมืองนพรัตน์และได้ยินประกาศว่ากษัตริย์แห่งเมืองนพรัตน์ทรงต้องการหมอเก่งๆ
มารักษาพระวิจิตรจินดา พระราชโอรสที่ถูกงูพิษกัดจนสิ้นพระชนม์มานานถึง 7 ปี
“น่าสงสารพระราชา
พระองค์คงทำใจไม่ได้จึงไม่อาจทำพิธีศพของพระวิจิตรจินดา”
“แต่ข้าว่าคงไม่มีใครรักษาพระวิจิตรจินดาได้หรอก
หากไม่มียาของหมอเทวดา”
ชาวเมืองต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
โสนน้อยเกิดความสงสาร
เธอจึงเข้าไปในวังและรับอาสารักษาพระวิจิตรจินดาให้ฟื้น โดยมีข้อแม้ว่าต้องกั้นม่านจำนวน
7
ชั้นเสียก่อน
เมื่อถึงเวลารักษาโสนน้อยแต่งเครื่องทรงพระธิดาและฝากชุดชาวบ้านไว้กับนางกุลา
นางกุลาได้โอกาสจึงขอเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วย
โสนน้อยค่อยๆ
ทายาวิเศษทั่วพระวรกายของพระวิจิตรจินดาอย่างเบามือ จนพิษงูค่อยๆ
คายออกมาเป็นไอร้อนคลุ้งไปทั่วห้อง เธอรู้สึกร้อนมากจึงรีบถอดเครื่องทรงออกแล้วไปสรงน้ำทันที
ระหว่างนั้นนางกุลาซึ่งมีจิตริษยาโสนน้อยอยู่ก่อนแล้ว
ได้นำเครื่องทรงพระธิดามาสวมใส่และไปนั่งเฝ้าพระวิจิตรจินดาอยู่ข้างเตียง
ไม่นานนักพระวิจิตรจินดาก็ทรงฟื้นขึ้น
“โอ
เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน ข้าจำได้ว่าถูกงูกัดแล้วหมดสติไป”
“พระองค์ม่เพียงแต่สิ้นสติไปแต่ยังสิ้นชีวีนานถึง
7
ปี เพคะ แต่ว่าหม่อมฉันนำยาวิเศษมาช่วยทำให้พระองค์ฟื้นชีวิตอีกครั้ง”
นางกุลารีบสวมรอยว่านางเป็นผู้รักษาพระองค์โดยแนะนำว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงจากต่างเมือง
ส่วนโสนน้อยเป็นทาสีผู้ติดตามของนาง ตั้งแต่นั้นมาโสนน้อยจึงตกเป็นทาสีของนางกุลา
และถูกข่มเหงรังแกอยู่เสมอ
“ท่านแม่นึกสงสัยเหมือนข้าหรือไม่ว่าพระธิดามีกิริยามารยาทประหลาดราวกับไม่รู้กฏระเบียบในวัง”
“แม่เองก็นึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
กิริยาของนางช่างขัดกับชาติตระกูลเสียเหลือเกิน”
ถึงแม้พระวิจิตรจินดาและทุกๆ
คน
จะคลางแคลงในพฤติกรรมของนางกุลาที่นางมีกิริยามารยาทไม่สมกับเป็นธิดากษัตริย์เสียเลย
แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
อยู่มาวันหนึ่ง
พระราชินีทรงให้นางกุลาไปเย็บกระทงมาถวาย
แต่นางพยายามเท่าไรก็เย็บไม่สำเร็จจึงโยนใบตองทิ้งจนเกลื่อนกลาด โสนน้อยจึงเก็บใบตองเหล่านั้นนำมาเย็บเป็นกระทงที่สวยงาม
นางกุลาเห็นเข้าก็นำไปถวายพระราชินี
“หม่อมฉันนำกระทงมาถวายแล้วเพคะ” นางกุลานำกระทงที่งดงามจากฝีมือของโสนน้อยมาแอบอ้างเป็นของตนเอง
“โอ งดงามมาก
เจ้ามีฝีมือไม่ใช่น้อยเลย”
พระราชินีทรงมองดูกระทงที่เย็บอย่างปราณีตและสวยงามอย่างพอพระทัยและรับสั่งให้นางกุลาย้อมผ้าสามสีสำหรับผูกเรือให้พระวิจิตรจินดาชุดหนึ่งเพราะพระวิจิตรจินดาจะเสด็จประพาสทางทะเลในวันรุ่งขึ้น
นางกุลาจัดแจงย้อมผ้าแต่ก็ทำไม่เป็นอีกจึงโยนผ้าทิ้งอย่างหงุดหงิด
โสนน้อยก็เก็บผ้าแล้วนำไปย้อมสีได้ผ้าผูกเรือสีสันสวยงาม
ครั้นรุ่งเช้านางกุลาจึงรีบนำไปถวายพระวิจิตรจินดา
“หม่อมฉันนำผ้าย้อมสีมาถวายแล้วเพคะ
แม้มันจะยากลำบากแต่หม่อมฉันก็ทำเพื่อพระองค์ได้เพคะ” นางกุลาก็ยังแอบอ้างว่าผ้าย้อมสีนั้นนางย้อมด้วยตนเอง
พระวิจิตรจินดาทรงรำคาญนางกุลามากจึงรับสั่งให้ทหารออกเดินทางทันทีแต่ทำอย่างไรเรือก็ไม่ยอมเคลื่อนออกจากท่า
พระวิจิตรจินดาจึงปรารถขึ้นว่า
“เอ
หรือว่ายังมีใครที่ไม่ได้ฝากซื้อของอีก"
ตรัสแล้วพระองค์ก็ให้ทหารไปสอบถามทั่ววังปรากฏว่าคนที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของคือโสนน้อย
โสนน้อยจึงบอกทหารไปว่า
"ฉันฝากซื้อโสนน้อยเรือนงามจ้ะ"
เพียงเท่านั้นเรือก็เคลื่อนที่ออกจากท่าได้สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเรือแล่นไปถึงทะเลพระอินทร์ก็ดลบันดาลให้ลมพัดเรือไปยังนครโลมวิสัย
พระวิจิตรจินดาหาซื้อของตามรายการได้เกือบครบ
ขาดเพียงโสนน้อยเรือนงามเท่านั้นที่หาซื้อไม่ได้
ชาวเมืองคนหนึ่งจึงทูลพระวิจิตรจินดาว่า
“โสนน้อยเรือนงามเป็นของคู่บุญของพระธิดาแห่งเมืองโลมวิสัยพะยะค่ะ"
พระวิจิตรจินดาไปขอเข้าเฝ้ากษัตริย์โลมวิสัยและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงาม
พระเจ้าโลมวิสัยจึงทราบว่าที่จริงแล้วทาสีผู้ที่ฝากซื้อเรือนโสนน้อยคือพระธิดาของพระองค์เอง
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอฝากเรือนน้อยนี้ให้ธิดาของข้าด้วย”
“พะยะค่ะ”
เมื่อพระวิจิตรจินดาเดินทางกลับถึงเมืองนพรัตน์
ทหารสองคนก็ยกเรือนงามไปให้โสนน้อย
โสนน้อยรับเรือนหลังน้อยวางไว้ตรงหน้า
และตั้งจิตอธิษฐานทันใดนั้นก็ปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นโดยรอบ
โสนน้อยลุกขึ้นเดินเข้าไปในเรือนนั้นอย่างสง่างาม
ทุกคนจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วโสนน้อยเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาก
และเป็นผู้ที่รักษาพระวิจิตรจินดาให้มีชีวิตอีกครั้ง
ส่วนนางกุลาผู้ทรยศถูกพระวิจิตรจินดาขับออกจากเมืองทันที
นับแต่นั้นมาก
พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยก็ครองรักกันอย่างมีความสุข