วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หมองูตายเพราะงู

หมองูตายเพราะงู


จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสานที่มีชื่อเสียงมาก ถ้าเอ่ยชื่อถึงสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดขอนแก่น ใครๆคงไม่รู้จัก หมู่บ้านโคกสง่า หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันในชื่อของ  หมู่บ้านงู เหตุที่เรียกหมู่บ้านงู เพราะชาวบ้านแห่งนี้เลี้ยงงูเป็นอาชีพ 

โรงเรียนในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ได้จัดทำโครงการนำ
นักเรียนไปทัศนศึกษายังหมู่บ้านงูเป็นประจำ  ปีนี้ก็เช่นกันโรงเรียนเทศบาลสวนสนุกได้จัดนำนักเรียนไปทัศนศึกษาที่หมู่บ้านงูอีกครั้งหนึ่ง เสียงรถแล่นเข้าไปใกล้หมู่บ้านงูทุกที 

ครูที่เป็นผู้ดูแลนักเรียนในการไปทัศนศึกษาครั้งนี้ประกาศว่า“ขณะนี้ใกล้ถึงหมู่บ้านงูแล้วนะคะ  เมื่อไปถึงเราจะเข้าแถวลงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อเข้าชมงานขอให้ทุกคนปฏิบัติตามนี้เพื่อความปลอดภัยด้วยนะคะ อย่าลืมนะคะว่าเรามาเที่ยวหมู่บ้านงู”

เมื่อรถจอด เด็กนักเรียนลงรถอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย  มีผู้นำพาคณะครูและนักเรียนเข้าไปนั่งบนอัฒจันทร์เพื่อชม                

การแสดงของคนกับงู  โฆษกประจำสถานที่จึงเข้ามาต้อนรับ “ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านโคกสง่า  หรือหมู่บ้านงูนะครับ  ที่นี่คือลานการแสดงโชว์ของคนกับงู  เชิญนักเต้นออกมาเต้นได้เลย ” 

เสียงเพลงดังขึ้น มีนักเต้นผู้หญิงออกมาเต้นแล้วใช้งูเหลือมพาดตามตัวและเต้นตามจังหวะเสียงเพลง  จบแล้วเป็นการแสดงของผู้ชายกับงูที่ออกมาเต้นเข้ากับเสียงเพลงเหมือนกัน 

โฆษกประกาศอีกว่า “ต่อไปเป็นการแสดงชุดใหญ่ของเรา ซึ่งเป็นชุดที่นักท่องเที่ยวชอบดูที่สุด เมื่อใครได้ดูแล้วต้องอึ้ง ทึ่ง เสียว เดี๋ยวทุกคนจะได้ดูงูนักแสดงของเราว่ามีงูอะไรบ้าง ” 
ชาวบ้านนำกล่องเลี้ยงงูออกมา “ลังไม้นี้เป็นที่อยู่ของงูเห่า ลังไม้นั้นเป็นที่อยู่ของงูจงอาง ซึ่งเราเรียกว่าเป็นราชาของงู  ราชางูของเรายาวสองเมตรครึ่ง  ตัวสีดำเลื่อม  เงางามมากขอให้ทุกท่านปรบมือให้กับราชางูของเราด้วยนะครับ   และต่อไปเป็นการแสดงการชกของคนกับงู โดยทางทีมงานของเราจะใช้ราชางูตัวนี้นะครับ  ส่วนงูตัวที่เหลือเก็บได้นะครับ”

 เมื่อทีมงานเก็บงูตัวที่ไม่เกี่ยวข้องแล้ว โฆษกประกาศพูดต่อไปอีกว่า “ถ้าเรานำงูออกมานานเกินไป  งูมันเหนื่อยมันรำคาญ เดี๋ยวมันจะโมโหกัดเราได้” 

จากนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที “ขอเสียงปรบมือให้กับผู้ท้าชิงชกกับงูหน่อยครับ  ลุงสง่า  แชมป์เปี้ยนทุกสมัยของการชกครับ  ลุงสง่าชกมาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนกระทั่งอายุได้ 65 ปี ลุงแกก็ยังไม่ลาสังเวียนสักที  แกบอกว่าแกจะชกจนแก่กว่านี้ครับ  ทุกคนคงสังเกตเห็นที่บริเวณใบหน้าและมือของลุงสง่า  ลุงสง่าเคยถูกงูกัดมาแล้วหลายครั้ง  แต่ไม่ตายครับ  ไปหาหมอทันพอดี  แต่แกไม่เข็ดหรอกครับ  มีงูที่ไหนมีลุงสง่าที่นั่นครับ  ปรบมือให้กับลุงสง่าหน่อยครับ” 

ลุงสง่าชกกับงูไป โฆษกพากย์เสียงไป เด็กนักเรียนทั้งสนุกทั้งหวาดเสียวร้องวี้ด! ว้าย!  กัน  เพราะหวาดเสียวกับการแสดง 

โฆษกประกาศว่า “นี่เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวห้ามลอกเลียนแบบนะครับเด็กๆ ”

เมื่อโฆษกพูดจบได้สักครู่ใหญ่ๆ การแสดงก็จบลง เสียงปรบมือดังเกรียวกราว งูจงอางถูกเก็บไว้ในลังไม้  และนำไปเก็บไว้ในกรงเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นคณะนักแสดงของหมู่บ้านงูนำงูเหลือมออกมาให้นักเรียนและนักท่องเที่ยวได้ชมอย่างใกล้ชิด เด็กนักเรียนชายหลายคนใจกล้า  นำงูเหลือมที่ทีมงานนำมาให้ดู คล้องคอเพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เมื่อเด็กๆ ดูงูจนพอใจแล้ว ก็เข้าแถวขึ้นรถกลับบ้านอย่างมีความสุข เมื่ออยู่บนรถเด็กๆต่างพากันพูดคุยถึงเรื่องของงูเสียงเซ็งแซ่ไปหมด 

สายใจสงสัยมากจึงถามคุณครูว่า “คนที่ชกกับงูแบบนี้เคยมีคนตายบ้างไหมคะ” 
ครูตอบว่า “มีเหมือนกัน เพราะคนที่เลี้ยงงูอยู่กับความอันตรายตลอดเวลา ต่อให้มีความชำนาญ เชี่ยวชาญจนชาวบ้าน ยกย่องให้เป็นหมองูก็เถอะ  ย่อมมีความพลาดพลั้งถึงแก่ความตายได้เมื่อมีความประมาท  ดังคำที่ว่า หมองูตายเพราะงูอย่างไรล่ะจ๊ะ” 

เด็กๆ จึงพูดคุยเรื่องงูกันต่อด้วยความตื่นเต้น กระทั่งเดินทางถึงบ้านแล้วก็ยังเล่าประสบการณ์ที่ได้มาเห็นการแสดงของงูให้ผู้ปกครองฟังด้วยความตื่นเต้น







วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นิทานเรื่อง "ต้นไม้กับขวาน"

นิทานเรื่อง "ต้นไม้กับขวาน"




ชายยากจนคนหนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเก่ากล
­างป่า เขาต้องการซ่อมบ้านแต่ไม่มีด้ามขวาน จึงเข้าไปในป่าเพื่อหาไม้มาทำด้ามขวาน เขาตรงไปอ้อนวอนขอไม้จากเทพเจ้าต้นไม้ บทสรุปของชายยากจนคนนี้จะเป็นอย่างไร เขาจะได้ไม้มาทำขวานและบ้านหรือไม่ ติดตามในการ์ตูนได้เลย มีข้อคิดดีๆให้ช่วงท้ายด้วยนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

การ์ตูนไดโนเสาร์


การ์ตูนไดโนเสาร์

รายละเอียดของเรื่อง 

สายวันนี้แดดแรง ไดโนกับไดนี่ขออนุญาตพ่อกับแม่ไปเที่ยวน้ำตก

พ่อยิ้มพร้อมกำชับลูกรักทั้งสองว่า.....

“ดูแลน้องด้วยนะไดโน ไดนี่ก็อย่าดื้อกับพี่ละ”

ทั้งสองรับปาก ไดโนใช้หางจูงไดนี่

พี่ชายน้องสาวเดินจูงหางกันมาถึงน้ำตกใหญ่ ทันใดนั้นเองไดนี่เสียหลักลื่นล้มลงมาตามโขดหิน

“โอ๊ย พี่ไดโนช่วยด้วยช่วยไดนี่ด้วย”

ไดโนตกใจว่ายตามไดนี่ที่ลอยไป แล้วใช้หางของตัวเองเหวี่ยงไปรัดตัวของไดนี่ไว้ แต่ไดโนเองก็สู้แรงน้ำไม่ไหว กระแสน้ำพัดไดโนกับไดนี่ไปตามโขดหิน สองข้างทางริมน้ำเปลี่ยนไปเป็นป่าสีม่วง

            “ไดนี่ น้ำพัดเรามาถึงป่าสีครามแล้ว”

ไดนี่มองป่ารอบตัว ทันใดนั้นทั้งสองก็ไหลไปถึงป่าสีน้ำเงิน ไดโนหัวเราะชอบใจกอดน้องสาวไว้

            “ไดนี่ ต่อไปน้ำจะพัดเราไปถึงป่าสีเขียวนะ”

ยังไม่ขาดคำน้ำก็พัดทั้งสองมาถึงป่าสีเขียว

            “พี่ไดเก่งจัง แล้วต่อไปละคะ”

ไดนี่เริ่มสนุก ไดโนบอกน้องว่า....

             “เรากำลังไหลผ่านป่าเจ็ดสี เหมือนสีของรุ้งกินน้ำไงละ ต่อไปต้องเป็นป่าสีเหลือง คอยดูก็แล้วกัน”

และเมื่อถึงป่าสีเหลืองจริงๆ ไดโนกับไดนี่ก็โดนน้ำพัดผ่านต่อไปยังป่าสีส้มและป่าสีแดง ไดโนกับไดนี่ลอยมาติดโขดหิน ทั้งคู่ได้ยินเสียงผู้หญิงกำลังร้องไห้

            “ร้องทำไม มีอะไรให้เราช่วยไหมครับ”

ไดโนตะโกนถาม หญิงผมยาวผิวใสราวกระจกหันมา

            “ฉันคือลูกสาวของตาน้ำ”

หญิงสาวพูดเสียงเศร้าแล้วเล่าว่าเธอถูกน้ำพัดหลงมา บ้านของเธออยู่บนภูเขา ยอดที่สูงที่สุด ที่นั่นมีน้ำผุดออกมาจากดิน คนเรียกกันว่าตาน้ำ

            “แล้วน้ำนั้นมีประโยชน์อย่างไรครับ”  ไดโนถาม

หญิงสาวตอบข้อสงสัยว่า.....

            “ตาน้ำเป็นต้นกำเนิดของน้ำทั้งหมด น้ำจากน้ำตกก็เริ่มไหลมาจากที่นั่น ถ้าไม่มีตาน้ำก็ไม่มีน้ำไหลลงมาทางลำธารให้คนข้างล่างได้ใช้”

            เธอเองหน้าที่รักษาป่าแถบตาน้ำ

                        “ถ้ามีคนมาตัดต้นไม้ดินแถวนั้นจะไม่สมบูรณ์ และจะไม่มีน้ำออกจากดิน”

            พี่ไดโนถามต่อว่า.....

                        “ต้นไม้ ดิน กับน้ำเกี่ยวข้องกันหรือครับ”

                        “ใช่แล้วจ๊ะ และฉันต้องกลับไปดูแลป่าบนภูเขาสูงสุดนั้น”

            ลูกสาวตาน้ำพูดด้วยสายตาเศร้าหมอง

                        “ผมช่วยคุณได้”

ไดโนรีบบอกแล้วก็เก็บใบไม้ที่ร่วงมาหนึ่งใบแล้วพับจนเป็นเรื่องบินก่อนตั้งจิตอธิษฐาน ทันใดนั้นเครื่องบินใบไม้ก็กลายเป็นเครื่องบินขิงจริง แล้วทั้งสามก็นั่งเครื่องบินใบไม้มุ่งไปยังภูเขาสูงที่สุด ระหว่างทางลูกสาวตาน้ำชวนไดโนและไดนี่ให้มองลงไปข้างล่างเธอชี้และพูดว่า....

            “ป่าสีรุ้งอยู่ตรงนั้น ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ถ้าป่ายังมีเจ็ดสีเหมือนสีของรุ้งก็แปลว่าตาน้ำยังคงสมบูรณ์”

เมื่อถึงยอดเขาไดนี่พูดกับลุกสาวตาน้ำว่า.....

            “ฝากดูแลตาน้ำและป่าด้วยนะคะ”

            “จ้ะ หนูกลับไปก็บอกเพื่อนๆ ว่าอย่าทำให้น้ำสกปรกและอย่าตัดต้นไม้ เพราะยังมีคนในป่าเจ็ดสีที่ใช้น้ำที่ไหลผ่านจากหมู่บ้านที่พวกหนูอยู่คะ”

ลูกสาวตาน้ำยิ้ม สองพี่น้องเอ่ยลาลูกสาวตาน้ำ แล้วเครื่องบินก็ทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง

ทั้งสามคนกล่าวลากัน

            “บายๆไว้เจอกันใหม่น้า”

หลังจากวันนั้นไดโนกับไดนี่ก็ช่วยบอกเพื่อนๆพี่ๆน้องๆให้ช่วยกันดูแล ป่าไม้ ต้นน้ำ ลำธาร ให้สะอาดและสมบูรณ์อยู่เสมอเผื่อแหล่งต้นน้ำลำธารป่าไม้จะได้สมบูรณ์ตลอดไป

คติสอนใจ

ทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อื่น ๆ  เพราะป่าไม้มีประโยชน์ทั้งการเป็นแหล่งวัตถุดิบของปัจจัยสี่  คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคสำหรับมนุษย์ และยังมีประโยชน์ในการรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม  ถ้าป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก ๆ  ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ  เช่น  สัตว์ป่า  ดิน  น้ำ  อากาศ  ฯลฯ เมื่อป่าไม้ถูกทำลาย  จะส่งผลไปถึงดินและแหล่งน้ำด้วย จึงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดสภาวะปัจจุบัน ที่มีทั้ง โลกร้อน สภาวะเรือนกระจก แผ่นดินไหว น้ำท่วม เหตุการณ์เหล่านี้ ล้วนมาจากการกระทำของมนุษย์เราทั้งนั้น  พี่ตาน้ำขอฝากให้ทุกคนหันมาเอาใจใส่ดูแลสิ่งแวดรอบๆตัวเราให้มากกว่านี้นะค่ะ  โลกเราจะสวยได้ก็ด้วยมือของพวกเราทุกคนนะค่ะ

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน

เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน


         ณ  ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่  มีฝูงควายป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก  พวกมันพากันกินหญ้าอย่างมีความสุขเช่นนี้ทุกวัน

                        วันหนึ่งเจ้าหมาป่าหิวโซ  เดินผ่านมาเห็นฝูงควายป่าเป็นจำนวนมาก  หมาป่าคิดจะจับควายป่ากินเป็นอาหาร  แต่ดูแล้วควายป่ามีแต่ตัวใหญ่ๆ   หมาป่าเองก็หมดเรี่ยวแรงด้วยหิวโซ  และตัวเล็กกว่ามาก  “เราจะทำอย่างไรดีนะ….โอย! ..หิว….ควายป่าตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ”

                        ดังนั้นเจ้าหมาป่าจึงเดินเข้าไปหาความป่าหนุ่มตัวใหญ่ที่ดูแข็งแรงมากตัวหนึ่ง  เมื่อหมาป่าเดินเข้าไปใกล้ๆ  ควายป่าหนุ่มก็ตกใจ  เพราะดูท่าทางหมาป่าแล้ว  คงไม่มีแรงสู้กับควายป่าได้  ควายป่าจึงเฉยและกินหญ้าต่อไป

                         หมาป่าจึงพูดขึ้นว่า  “ท่านช่างสง่างามจริงๆ  ดูซิร่างกายกำยำ  แข็งแรง  ท่านคงเป็นจ่าฝูงของที่นี่”  ควายป่ายังรับฟังแต่ใจคิดอะไรอยู่ในใจ  เจ้าหมาป่าจึงพูดต่อไปอีกว่า  “แต่ข้าได้ยินมาว่า  มีผู้ที่อยากล้มท่าน  แล้วอยากเป็นจ่าฝูงเสียเอง  เขาคอยหาโอกาสดีๆอยู่  แต่ข้าคงบอกไม่ได้หรอกนะว่าใคร  ท่านคงพอจะรู้อยู่หรอก”  เมื่อได้ฟังดังนั้น  ควายป่ามีท่าโกรธจัด

                        วันต่อมาหมาป่าทำอย่างนี้เหมือนเดิมกับควายป่าอีกตัวหนึ่งที่และเลือกตัวที่มีร่างกายกำยำแข็งแรงไม่แพ้กัน  และดูท่าทางของควายป่าตัวนี้เอาเรื่องทีเดียว

                        หมาป่าทำทีเข้าไปตีสนิทและพูดว่า    “ท่านจ่าฝูงเมื่อวานเราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตัวท่านมาเรื่องหนึ่ง  ไม่รู้ว่าท่านอยากรู้หรือเปล่า  เพราะเกี่ยวกับตัวท่าน  ไอ้ข้าอ่ะนะ…พอได้ยินอะไรที่ไม่เหมาะสมไม่ควร  ข้าก็ทนฟังไม่ได้  อย่างน้อยท่านจะได้ระวังตัวไว้บ้าง”  เมื่อควายป่าได้ฟังจึงสนใจ  “ใครว่าอะไรข้า  เจ้าเล่ามา”  หมาป่าจึงพูดว่า  “ข้าได้ยินมาว่า  จ่าฝูงอยากกำจัดท่าน  เพราะเห็นท่านมีผู้นิยมชมชอบอยู่ไม่น้อย  และกลัวท่านจะขึ้นมาเป็นจ่าฝูงแทน  แล้วพรุ่งนี้ข้ายังได้ยินมาอีกว่าจ่าฝูงจะมาเอาเรื่องท่านถึงที่เวลาเช้านี่แหละ   ข้าก็เห็นท่านมีฝีมืออยู่เหมือนกันท่านจะยอมอยู่หรือ  สู้กันให้รู้ไปว่าท่านก็ไม่เบานะ ”

ควายป่าหนุ่มจึงโกรธ  “ข้าอยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จังเลย  จะได้รู้ดำรู้แดงกันเสียที  คิดจะกำจัดข้ารึ  เกินไปแล้ว”

                        เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง  ควายป่าทั้งสองตัวที่ตกหลุมพรางหมาป่า  จึงต่างจะไปเอาเรื่องกับอีกฝ่าย  เมื่อมาเจอกัน  ไม่มีใครถามใคร  วิ่งเข้าใส่ขวิดกัน  สู้กันจนอ่อนแรง และตายไปด้วยความเหนื่อย  เพราะไม่มีใครยอมใคร   หมาป่าที่รอดูอยู่ได้แต่หัวเราะเยาะด้วยความสะใจ  “ฮ่า..ฮ่า..ตายทั้งคู่   โง่จริงๆ  อาหารอันโอชะของข้าน่าอร่อยจริง”  แล้วหมาป่าก็เข้าไปกินอาหารอย่างมีความสุข

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นิทานเรื่องสั้น...การ์ตูนสโนน้อยเรือนงาม

นิทานพื้นบ้านเรื่องโสนน้อยเรือนงาม

ณ นครโลมวิชัย มีพระราชาและราชินีผู้ซึ่งตั้งมั่นในทศพิธราชธรรมปกครองอยู่ ทั้งสองพระองค์ให้กำเนิดพระธิดาพระองค์น้อย และทรงพระราชทานนามให้ว่าโสนน้อยเรือนงาม เพราะตั้งแต่แรกประสูติ พระธิดาโสนน้อยมีเรือนไม้หลังเล็กๆ ติดพระหัตถ์ออกมาด้วย ครั้นพระธิดาโสนน้อยเจริญวัยขึ้น เรือนไม้หลังน้อยก็ได้กลายเป็นของเล่นที่เธอโปรดปรานมาก เธอสามารถเข้าออกเรือนไม้นั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

                     

          ช่างมหัศจรรย์นักพระราชาและพระราชินีต่างก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ
          เมื่อใกล้วันครบรอบวันประสูติ พระราชาทรงดำริให้จัดงานฉลองครบรอบ 15 ชันษาแก่พระธิดา แต่โหรหลวงทูลคัดค้านว่า
          "พระอาญามิพ้นเกล้า ขณะนี้พระธิดาทรงกำลังมีพระเคราะห์พะยะค่ะ ดังนั้นพระธิดาจะต้องออกเดินทางเผชิญโชคเพียงลำพังเป็นเวลา 1 ปี"
          ไม่มีหนทางหรือการสะเดาะเคราะห์ทางอื่นช่วยนางได้เลยหรือพระราชาตรัสด้วยไม่อยากจะปล่อยให้พระธิดาของตนต้องลำบาก
          พระอาญามิพ้นเกล้า นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการกำจัดเคราะห์ของพระธิดาพะยะค่ะ
          ถึงแม้พระราชาและพระราชินีจะทรงไม่เห็นด้วยแต่ก็ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองพระองค์จึงไปส่งพระธิดาที่หน้าประตูเมือง โดยโสนน้อยได้ปลอมตัวเป็นสาวชาวบ้าน แล้วเอาเครื่องทรงพระธิดาห่อไว้
          ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะ ลูกจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ระหว่างที่ลูกไม่อยู่ ขอให้ท่านพ่อท่านแม่รักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ
          โสนน้อยเดินทางเข้าป่าอย่างไร้จุดหมาย พระอินทร์เกิดความสงสารจึงแปลงกายเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นแก่เธอและอวยพรให้เธอโชคดี ระหว่างทางโสนน้อยพบศพหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งชื่อกุลา นางถูกงูพิษกัดสิ้นใจตายอยู่กลางป่า โสนน้อยจึงลองใช้ยาวิเศษของท่านชีปะขาวทาที่บาดแผล พลันบาดแผลก็หายเป็นปลิดทิ้ง นางกุลาก็ฟื้นขึ้นและขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยไปทุกหนทุกแห่ง
          โสนน้อยและนางกุลาเดินทางไปถึงเมืองนพรัตน์และได้ยินประกาศว่ากษัตริย์แห่งเมืองนพรัตน์ทรงต้องการหมอเก่งๆ มารักษาพระวิจิตรจินดา พระราชโอรสที่ถูกงูพิษกัดจนสิ้นพระชนม์มานานถึง 7 ปี
          น่าสงสารพระราชา พระองค์คงทำใจไม่ได้จึงไม่อาจทำพิธีศพของพระวิจิตรจินดา
          แต่ข้าว่าคงไม่มีใครรักษาพระวิจิตรจินดาได้หรอก หากไม่มียาของหมอเทวดา
          ชาวเมืองต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร
          โสนน้อยเกิดความสงสาร เธอจึงเข้าไปในวังและรับอาสารักษาพระวิจิตรจินดาให้ฟื้น โดยมีข้อแม้ว่าต้องกั้นม่านจำนวน 7 ชั้นเสียก่อน เมื่อถึงเวลารักษาโสนน้อยแต่งเครื่องทรงพระธิดาและฝากชุดชาวบ้านไว้กับนางกุลา นางกุลาได้โอกาสจึงขอเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วย
          โสนน้อยค่อยๆ ทายาวิเศษทั่วพระวรกายของพระวิจิตรจินดาอย่างเบามือ จนพิษงูค่อยๆ คายออกมาเป็นไอร้อนคลุ้งไปทั่วห้อง เธอรู้สึกร้อนมากจึงรีบถอดเครื่องทรงออกแล้วไปสรงน้ำทันที ระหว่างนั้นนางกุลาซึ่งมีจิตริษยาโสนน้อยอยู่ก่อนแล้ว ได้นำเครื่องทรงพระธิดามาสวมใส่และไปนั่งเฝ้าพระวิจิตรจินดาอยู่ข้างเตียง
          ไม่นานนักพระวิจิตรจินดาก็ทรงฟื้นขึ้น
          โอ เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน ข้าจำได้ว่าถูกงูกัดแล้วหมดสติไป
          พระองค์ม่เพียงแต่สิ้นสติไปแต่ยังสิ้นชีวีนานถึง 7 ปี เพคะ แต่ว่าหม่อมฉันนำยาวิเศษมาช่วยทำให้พระองค์ฟื้นชีวิตอีกครั้ง
          นางกุลารีบสวมรอยว่านางเป็นผู้รักษาพระองค์โดยแนะนำว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงจากต่างเมือง ส่วนโสนน้อยเป็นทาสีผู้ติดตามของนาง ตั้งแต่นั้นมาโสนน้อยจึงตกเป็นทาสีของนางกุลา และถูกข่มเหงรังแกอยู่เสมอ
          ท่านแม่นึกสงสัยเหมือนข้าหรือไม่ว่าพระธิดามีกิริยามารยาทประหลาดราวกับไม่รู้กฏระเบียบในวัง
          แม่เองก็นึกสงสัยอยู่ไม่น้อย กิริยาของนางช่างขัดกับชาติตระกูลเสียเหลือเกิน
          ถึงแม้พระวิจิตรจินดาและทุกๆ คน จะคลางแคลงในพฤติกรรมของนางกุลาที่นางมีกิริยามารยาทไม่สมกับเป็นธิดากษัตริย์เสียเลย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
          อยู่มาวันหนึ่ง พระราชินีทรงให้นางกุลาไปเย็บกระทงมาถวาย แต่นางพยายามเท่าไรก็เย็บไม่สำเร็จจึงโยนใบตองทิ้งจนเกลื่อนกลาด โสนน้อยจึงเก็บใบตองเหล่านั้นนำมาเย็บเป็นกระทงที่สวยงาม นางกุลาเห็นเข้าก็นำไปถวายพระราชินี
          หม่อมฉันนำกระทงมาถวายแล้วเพคะนางกุลานำกระทงที่งดงามจากฝีมือของโสนน้อยมาแอบอ้างเป็นของตนเอง
          โอ งดงามมาก เจ้ามีฝีมือไม่ใช่น้อยเลย
          พระราชินีทรงมองดูกระทงที่เย็บอย่างปราณีตและสวยงามอย่างพอพระทัยและรับสั่งให้นางกุลาย้อมผ้าสามสีสำหรับผูกเรือให้พระวิจิตรจินดาชุดหนึ่งเพราะพระวิจิตรจินดาจะเสด็จประพาสทางทะเลในวันรุ่งขึ้น
          นางกุลาจัดแจงย้อมผ้าแต่ก็ทำไม่เป็นอีกจึงโยนผ้าทิ้งอย่างหงุดหงิด โสนน้อยก็เก็บผ้าแล้วนำไปย้อมสีได้ผ้าผูกเรือสีสันสวยงาม 
          ครั้นรุ่งเช้านางกุลาจึงรีบนำไปถวายพระวิจิตรจินดา
          หม่อมฉันนำผ้าย้อมสีมาถวายแล้วเพคะ แม้มันจะยากลำบากแต่หม่อมฉันก็ทำเพื่อพระองค์ได้เพคะนางกุลาก็ยังแอบอ้างว่าผ้าย้อมสีนั้นนางย้อมด้วยตนเอง
          พระวิจิตรจินดาทรงรำคาญนางกุลามากจึงรับสั่งให้ทหารออกเดินทางทันทีแต่ทำอย่างไรเรือก็ไม่ยอมเคลื่อนออกจากท่า พระวิจิตรจินดาจึงปรารถขึ้นว่า
          เอ หรือว่ายังมีใครที่ไม่ได้ฝากซื้อของอีก" ตรัสแล้วพระองค์ก็ให้ทหารไปสอบถามทั่ววังปรากฏว่าคนที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของคือโสนน้อย
          โสนน้อยจึงบอกทหารไปว่า "ฉันฝากซื้อโสนน้อยเรือนงามจ้ะ" เพียงเท่านั้นเรือก็เคลื่อนที่ออกจากท่าได้สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคนเป็นอย่างยิ่ง
          เมื่อเรือแล่นไปถึงทะเลพระอินทร์ก็ดลบันดาลให้ลมพัดเรือไปยังนครโลมวิสัย พระวิจิตรจินดาหาซื้อของตามรายการได้เกือบครบ ขาดเพียงโสนน้อยเรือนงามเท่านั้นที่หาซื้อไม่ได้
          ชาวเมืองคนหนึ่งจึงทูลพระวิจิตรจินดาว่า
          โสนน้อยเรือนงามเป็นของคู่บุญของพระธิดาแห่งเมืองโลมวิสัยพะยะค่ะ"
          พระวิจิตรจินดาไปขอเข้าเฝ้ากษัตริย์โลมวิสัยและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงาม พระเจ้าโลมวิสัยจึงทราบว่าที่จริงแล้วทาสีผู้ที่ฝากซื้อเรือนโสนน้อยคือพระธิดาของพระองค์เอง
          ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอฝากเรือนน้อยนี้ให้ธิดาของข้าด้วย
          พะยะค่ะ
          เมื่อพระวิจิตรจินดาเดินทางกลับถึงเมืองนพรัตน์ ทหารสองคนก็ยกเรือนงามไปให้โสนน้อย
โสนน้อยรับเรือนหลังน้อยวางไว้ตรงหน้า และตั้งจิตอธิษฐานทันใดนั้นก็ปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นโดยรอบ โสนน้อยลุกขึ้นเดินเข้าไปในเรือนนั้นอย่างสง่างาม ทุกคนจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วโสนน้อยเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาก และเป็นผู้ที่รักษาพระวิจิตรจินดาให้มีชีวิตอีกครั้ง ส่วนนางกุลาผู้ทรยศถูกพระวิจิตรจินดาขับออกจากเมืองทันที
          นับแต่นั้นมาก พระวิจิตรจินดาและพระธิดาโสนน้อยก็ครองรักกันอย่างมีความสุข